ชิปปิ้งจีน กับ 10 เรื่องน่ารู้ของการช็อปปิ้งออนไลน์ ปี 2019

ชิปปิ้งจีน 10 สรุป_bkk ชิปปิ้งจีน ชิปปิ้งจีน กับ 10 เรื่องน่ารู้ของการช็อปปิ้งออนไลน์ ปี 2019 10              bkk 768x402

ชิปปิ้งจีน ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา การช็อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นอุตสาหกรรม ที่มีมูลค่าสูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์ ผู้คนนับล้านทั่วโลกเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาช็อปปิ้งออนไลน์มากกว่าการไปซื้อสินค้าที่ร้านโดยตรง

ซึ่งในปีนี้มีจำนวนผู้คนที่ช็อปปิ้งและใช้บริการออนไลน์สูงขึ้นกว่าเดิม และต่อไปนี้ คือ 10 บทสรุปของสถิติการช็อปปิ้งออนไลน์ 10 เรื่องที่น่าสนใจ โดยเราเชื่อว่ามันจะกลายเป็นเข็มทิศในการนำทางสู่การขายสินค้าออนไลน์ในปี 2020

  1. จำนวนของคนช็อปปิ้งออนไลน์จะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

ในปี 2018 มีคน 1.8 พันล้านคนทั่วโลก ที่ช็อปปิ้งออนไลน์ ในขณะที่ยอดค้าปลีกออนไลน์ทั่วโลกมีจำนวน 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ จึงเป็นที่คาดการณ์กันว่า ยอดค้าปลีกออนไลน์ทั่วโลกจะเติบโตสูงขึ้นถึง 4.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2021 สำหรับเหตุผลหลักๆ ของการช็อปปิ้งออนไลน์นั้น คือ ความสะดวกสบาย และการแข่งขันด้านราคา ที่ทำให้ผู้ซื้อสามารถเลือกร้านค้าและราคาที่ถูกใจได้มากที่สุด ในขณะเดียวกัน ธุรกิจออนไลน์ได้มอบประสบการณ์ช็อปปิ้งออนไลน์ให้เหมือนการได้มาช็อปปิ้งด้วยตัวเอง รวมไปถึงการให้คำอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และรูปภาพให้สมบูรณ์ที่สุด แม้ตัวจะอยู่บ้าน ก็สามารถพิจารณารายการสินค้าได้เหมือนไปอยู่ที่ร้านเลยทีเดียว

  1. เมื่อกำลังช็อปปิ้ง เป็นการเริ่มต้นช่องทางออนไลน์

63% ในขณะที่คุณกำลังช็อปปิ้งอยู่นั้น หมายความว่าคุณจะทำการช็อปไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย (ออนไลน์หรือที่หน้าร้าน) Google และ Amazon ได้ทำการวิจัย จนเป็นเหตุให้แบรนด์ต่างๆ ปรังปรุงแพลตฟอร์มออนไลน์ให้แข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์อันแสนประทับใจให้กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์จากร้านค้าในที่สุด

  1. ผู้บริโภคเลือกช็อปปิ้งผ่านมือถือ

ผู้บริโภคเกือบครึ่งได้ช็อปปิ้งสินค้าบนมือถือมากกว่าการช็อปปิ้งร้านค้าโดยตรง ยุคนี้ผู้บริโภคใช้อุปกรณ์อย่างมือถือของพวกเขาในทุกขั้นตอนของช่องทางช็อปปิ้งออนไลน์ รวมไปถึงกิจกรรมการช็อปต่างๆ โดยไตรมาสสุดท้ายของปี 2018 บน PC มีสัดส่วนของการสั่งซื้อ E-Retail ทั่วโลกในระดับเดียวกับสมาร์ทโฟน ในแง่ของการเยี่ยมชมเว็บไซต์ร้านค้าปลีก สมาร์ทโฟนถือเป็นอุปกรณ์อันดับหนึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ในการเยี่ยมชมเว็บไซต์ร้านค้าปลีก

  1. ตลาดที่ใหญ่ที่สุดทั่วโลก

เมื่อแพลตฟอร์มจีน Taobao เป็นตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด ด้วย GMV (Gross Merchandize Volume หรือยอดขายสินค้าออนไลน์รวม) 515 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเปรียบเทียบกับ Tmall และ Amazon ซึ่งอยู่ในอันดับ 2 และ 3 ด้วยยอดขาย GMV 432 พันล้านดอลลาร์ และ 344 พันล้านดอลลาร์ สถิติดังกล่าว เป็นมุมมองทางการตลาดออนไลน์อันดับต้นๆ ของโลก อย่างไรก็ตาม ในเว็บไซต์ E-Commerce ของ Alibaba , Amazon และ eBay มียอดขาย 1.66 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2018 โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของยอดขายเว็บไซต์ทั่วโลกในปี 2018

  1. ความนิยมในการชำระเงินออนไลน์

E-Wallet คือ วิธีการชำระเงินออนไลน์ ซึ่งเป็นที่ต้องการสำหรับผู้บริโภคออนไลน์ทั่วโลกมากกว่า 36% วิธีชำระเงินที่ติดอันดับมาติดๆ  คือ บัตรเครดิต และบัตรเดบิตตามลำดับ อย่างไรก็ตาม สำหรับ E-Wallet เป็นที่ รู้จักกันดีว่ามันคือกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่สามารถทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือทำธุรกรรมออนไลน์ได้ รวมไปถึงการชำระเงินออนไลน์หรือการช็อปปิ้งออนไลน์ ปัจจุบันมีหลายแบรนด์ที่สร้างช่องทางการชำระเงินออนไลน์ให้กับลูกค้า เช่น  Apple Pay, Samsung Pay, Google Pay และ Paypal ดังนั้น หากมีร้านค้า E-Commerce หรือวางแผนที่จะเริ่มต้นธุรกิจ E-Commerce จึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงเครือข่ายการชำระเงินที่ง่ายและปลอดภัย นอกจากนี้ ควรพิจารณาว่ากลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ใด ถึงจะมั่นใจได้ว่าวิธีการชำระเงินที่มีนั้น เป็นวิธีที่ผู้บริโภครู้จักและคุ้นเคย

  1. จีนคือตลาด E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ด้วยยอดค้าปลีกสินค้าและบริการออนไลน์ของจีนมีมูลค่ารวม 333.45 พันล้านดอลลาร์หรือคิดเป็นร้อยละ 22.9 ของจำนวนทั้งหมด ทำให้ปัจจุบัน จีนกลายเป็นตลาด E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยตลาด E-Commerce ในประเทศจีนได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่มีตลาด E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังมีนักช็อปออนไลน์มากที่สุดถึง 610 ล้านคน และนักช็อปข้ามพรมแดนจำนวนสูงสุดประมาณ 149.42 ล้านคน

ด้วยการปรับตัวเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และชนชั้นกลางกำลังเติบโต รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู จึงดูเหมือนว่าตลาดของจีนยังเติบโตและพัฒนาต่อไปได้ ซึ่งการเติบโตของตลาดในประเทศจีนจะนำไปสู่อนาคตการค้าปลีกทั่วโลกอีกด้วย

  1. ผู้บริโภคคาดว่าจะเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง

เพราะ 75% ของคำค้นหาของผู้บริโภคในแต่ละเดือน คือ ของใหม่ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อผู้คนกำลังค้นหาผลิตภัณฑ์ใหม่บนโลกออนไลน์ ยิ่งกว่านั้นมีผู้บริโภคร้อยละ 69 กล่าวว่า เมื่อได้เห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกครั้งที่เข้าชมร้านค้า E-Commerce หรือเว็บไซต์ช็อปปิ้ง มันทำให้เขาตื่นเต้นและอยากติดตามร้านค้านั้นๆ

  1. ผู้คนเกิน 50% ช็อปออนไลน์อย่างน้อยเดือนละครั้ง

62% ของผู้บริโภคออนไลน์ซื้อสินค้าอย่างน้อย 1 ครั้ง/เดือน นอกจากนี้ 26% ของนักช็อปออนไลน์จะซื้อสินค้าออนไลน์สัปดาห์ละครั้งและ 3% เรียกร้องให้ซื้อสินค้าวันละครั้ง ด้วยผู้คนจำนวนมากมายที่ช็อปปิ้งออนไลน์เป็นประจำ หรือกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ต้องการซื้อ ผู้บริโภคจะพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่ไม่แน่ใจ แต่ต้องใช้เวลาในการค้นคว้าข้อมูลจากร้านค้า นั่นแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภครู้สึกว่ามีตัวเลือกมากมายให้พวกเขาหาข้อมูล ดังนั้น จึงมีผู้บริโภคออนไลน์ประมาณครึ่งหนึ่งหรือ 46% ไม่สามารถทำการซื้อออนไลน์ได้ทันที เนื่องจากมีตัวเลือกสินค้ามากมายจนตัดสินใจไม่ถูก

  1. เครื่องแต่งกาย ขายดีทางออนไลน์เป็นอันดับ 1

เครื่องแต่งกายถือเป็นหมวดหมู่ช็อปออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากทั่วโลก โดย 57% ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตซื้อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับแฟชั่น ส่วนรองเท้าได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 โดยมียอดซื้อออนไลน์ 47% แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแฟชั่น แต่สินค้าเหล่านี้ยังคงได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้บริโภคออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญคือ บางครั้งผู้บริโภคซื้อเครื่องแต่งกายออนไลน์ แต่พบว่า ใส่แล้วไม่พอดี ไม่เหมาะกับรูปร่าง ปัจจุบันร้านค้า E-Commerce บางร้านมีการรับคืนสินค้าฟรี ในขณะที่บางร้านมีนโยบายคืนเงิน แต่ก็ไม่ใช่ทุกร้านหรอกนะที่จะใจดี

  1. เหตุผลหลักที่ผู้บริโภคออนไลน์จะยกเลิกตะกร้าสินค้าของพวกเขา

เมื่อได้ถามเจ้าของร้านค้า E-Commerce และทางร้านได้แจ้งว่าตะกร้าสินค้าได้ถูกทิ้งร้างเอาไว้โดยที่ไม่ได้ดำเนินการใดต่อ โดย 63% ของการทิ้งตะกร้าสินค้าเอาไว้ มาจากค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการจัดส่ง รวมไปถึงเหตุผลอื่นๆ เช่น โค้ดส่วนลดที่ไม่สามารถใช้งานได้ รายการสินค้าต้องใช้เวลาในการจัดส่งนาน ตลอดจนการป้อนข้อมูลบัตรเครดิตเกิดปัญหา ฯลฯ อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า ทุกวันนี้การจัดส่งฟรีกลายเป็นสิ่งจำเป็นและมีอิทธิพลมาก ส่วนการเพิ่มค่าใช้จ่ายแอบแฝงที่เกิดขึ้นในกระบวนการซื้อสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนสุดท้ายนั้น จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคสามารถละทิ้งตะกร้าสินค้าไปได้โดยไม่ทำการซื้อให้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้นี่เอง ที่สร้างความน่ารำคาญให้กับผู้บริโภคออนไลน์ และมันแสดงให้เห็นถึงความไม่โปร่งใสของร้านค้าอีกด้วย

ถึงแม้จะมีบริการจัดส่งสินค้าฟรี ไม่ได้หมายความว่าบริการของขนส่งนั้นจะดีหรือเป็นไปตามมาตรฐานเหมือนกับบริการขนส่งที่มีค่าใช้จ่ายและการรับประกันการขนส่งสินค้าถึงปลายทางที่สามารถตรวจสอบสถานะการขนส่งของสินค้าได้ ยิ่งเป็นการขนส่งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนกับไทย จำเป็นต้องใช้บริการชิปปิ้งจีนที่ดำเนินงานโดยผู้ที่มีประสบการณ์และเป็นมืออาชีพเรื่องการขนส่งสินค้าอย่าง Bkkshipping ซึ่งมีบริการและเงื่อนไขการใช้บริการที่ไม่ยุ่งยาก มั่นใจได้ว่าชิปปิ้งจีนของ Bkkshipping สามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งสินค้าและสินค้าถึงมือปลายทาง ซึ่งมีบริการประกันสินค้าเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้สินค้าชำรุดในระหว่างชิปปิ้งจีนมายังเมืองไทย

อ้างอิงข้อมูล https://www.oberlo.com/blog/online-shopping-statistics